การดูดไขมันหน้าท้อง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่มีรูปร่างที่ไม่สมส่วน อยากที่จะขจัดดูดไขมันตัวร้ายออกจากร่างการกำจัดไขมันสะสม ที่อยู่บริเวณหน้าท้องออกไป ด้วยการใช้เครื่องดูดไขมันในการสลายเซลล์ไขมัน และดูดไขมันหน้าท้องออกมา เพื่อให้หน้าท้องมีขนาดเล็กลงเพิ่มความมั่นใจของเราให้มากขึ้น เพื่อความงามที่ใช้เทคนิคในการดูดไขมันส่วนเกินในชั้นใต้ผิวหนังออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเฉพาะจุด ซึ่งเป็นจุดที่ลดไขมันได้ยากแม้ว่าจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ก้น แขน หรือคอ
ไขมันสะสมหน้าท้อง แบ่งเป็น 2 ประเภท
ความแตกต่างตรงนี้ จะขึ้นอยู่กับว่าไขมันสะสมหน้าท้องของแต่ละเคส เป็นไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat) หรือไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)
ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous fat)
ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง คือ ไขมันที่เราสามารถดูดไขมันหน้าท้องออกมาได้ ไขมันชนิดนี้ ไม่เป็นอันตรายกับร่างกายใด ๆ ไม่ได้ทำให้สุขภาพร่างกายของเราแย่ลงครับ แต่มีข้อเสียคือการทำให้สัดส่วนของเรามีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น หน้าท้องใหญ่, ห่วงยางรอบเอว, ต้นขาใหญ่, มีขาเบียด, ต้นขาใหญ่ หรือคางสองชั้นเป็นต้น เรียกได้ว่าส่งผลต่อความสวยงามของร่างกายเป็นหลัก หากต้องการให้ไขมันตัวนี้หายไป ก็สามารถใช้วิธีดูดไขมันหน้าท้องได้
ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat)
ไขมันในช่องท้อง คือ ไขมันที่พอกอยู่รอบ ๆ อวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับเป็นต้น จึงไม่สามารถกำจัดได้ด้วยการดูดไขมันหน้าท้องได้ ถ้าต้องการจะลดเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น จะต้องออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมการกิน
ดูดไขมันหน้าท้อง เหมาะกับใคร?
- คนที่มีไขมันสะสมหน้าท้อง
- คุณแม่หลังคลอด ที่หน้าท้องไม่ยุบ
- คนที่ต้องการให้หน้าท้องแบนราบ
- คนที่ต้องการให้ Size เสื้อผ้าเล็กลง
- คนที่หน้าท้องใหญ่ ไขมันเยอะ
- คนที่ต้องการให้รูปร่างสมส่วนมากขึ้น
เทคนิคการดูดไขมัน
ผู้ที่เข้ารับการดูดไขมันอาจไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยจะใช้ระยะเวลาของขั้นตอนการดูดไขมันประมาณ 2 ชั่วโมง โดยจะขึ้นอยู่กับประเภทของการดูดไขมัน และหลังทำเสร็จอาจต้องสังเกตอาการอีกประมาณ 1 ชั่วโมง และควรทราบตั้งแต่ในเบื้องต้นก่อนว่า หลังจากการดูดไขมันเรียบร้อยแล้ว อาจจะมีน้ำไหลซึมออกจากแผลได้ นอกจากนั้น บริเวณที่ดูดไขมันอาจจะเกิดอาการช้ำ บวม และมีความเจ็บปวดหลังการดูดไขมัน แต่จะเป็นเพียงไม่กี่สัปดาห์
การเตรียมความพร้อมก่อนการดูดไขมัน
ก่อนจะทำการดูดไขมัน ต้องมีการปรึกษาพูดคุยกับศัลยแพทย์ถึงความคาดหวังและเป้าหมายของการศัลยกรรมดูดไขมัน มีการตรวจสอบประวัติและตรวจสอบทางการแพทย์ต่าง ๆ และบอกกับศัลยแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา การใช้ยารักษาโรค อาหารเสริม หรือมีการใช้สมุนไพรชนิดใดหรือไม่ ศัลยแพทย์ของจะแนะนำให้หยุดใช้ยาบางชนิด เช่น ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือยาลดการอักเสบ (NSAIDs) ก่อนการเข้ารับการดูดไขมันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังป่วย อาจเป็นข้อห้ามในการดูดไขมัน
ข้อห้ามสำหรับในการดูดไขมัน
การดูดไขมันเป็นหนึ่งในกระบวนการผ่าตัดที่มาพร้อมกับความเสี่ยง ซึ่งผู้เข้ารับการดูดไขมันต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี โดยที่อย่างน้อยต้องมีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีผิวหนังที่เด้งกระชับ ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนั้น แพทย์จะไม่แนะนำให้ดูดไขมัน หากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การไหลเวียนโลหิต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การดูแลตัวเองหลังจากการดูดไขมัน
การดูดไขมันนั้นมีผลถาวรสำหรับไขมันที่ดูดออกไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็สามารถมีไขมันเพิ่มมาได้ใหม่ หรือมีน้ำหนักเพิ่มได้อีก หากไม่ดูแลการรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกายที่ดี หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องควบคุมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อไป หลังจากขั้นตอนการดูดไขมันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศัลยแพทย์อาจให้สวมใส่ชุดบีบกระชับสัดส่วนเป็นเวลาประมาณ 1-2 เดือน เพื่อช่วยในการควบคุมอาการบวมที่เกิดขึ้น และอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในบางราย