ผ่าตัดกระเพาะ

6 sec read

ผ่าตัดกระเพาะ

การผ่าตัดกระเพาะ เป็นกรรมวิธีตัดเอาเนื้อกระเพาะ เพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง เป็นการผ่าตัด โดยการส่องกล้อง มีแผลน้อย เพื่อให้กินได้ลดน้อยลง สำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน จะช่วยลดจำนวนของกินที่กินเข้าไป ซึ่งการตัดกระเพาะจะทำให้คนที่ตัดกระเพาะไปแล้วนั้น สามารถประสบความสำเร็จ ในการลดความอ้วน มีน้ำหนักที่ลดน้อยลง จากการศึกษาพบว่า การผ่าตัดกระเพาะ แบบ Sleeve Gastrectomy ปลอดภัยกว่า ปัญหาแทรกซ้อนน้อยกว่าแนวทางการทำ By pass. สามารถทำให้คนอ้วนที่มี โรคความดัน โรคเบาหวาน หลังตัดกระเพาะ จะมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การผ่าตัดกระเพาะมาตรฐานที่ได้รับการยินยอมรับทั่วทั้งโลก มี 2 แนวทาง ได้แก่

  • Laparoscopic Sleeve Gastrectomy หรือเรียกสั้นๆว่า“สลีฟ (sleeve)” เป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง โดยขนาดกระเพาะ ที่ยังคงอยู่หลังผ่าตัดเพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย
  • Laparoscopic Gastric Bypass วิธีการแบบนี้เรียกสั้นๆว่า“บายพาส (Bypass)”เป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะร่วมกับ ทำทางเบี่ยงทางเดินอาหาร ข้ามกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ และก็ลำไส้เล็กส่วนที่ดูดซึมสูงไป โดยไม่มีการตัดส่วนใด ออกมาจากร่างกาย เป็นการลดจำนวนแคลอรีเข้าสู่ร่างกาย ปรับฮอร์โมน แล้วยังลดการดูดซึม เป็นการผ่าตัดที่มีขั้นตอนมากมาย ใช้เวลาสำหรับในการผ่าตัดมากกว่า แต่ลดน้ำหนักได้มากกว่า

การผ่าตัดทั้งสอง วิธีนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง ภายใต้การดมยาสลบ แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 1-2 ชั่วโมง ในสลีฟ และ 3-5 ชั่วโมงในบายพาส พักฟื้นที่โรงพยาบาล 2-3 วันก็กลับบ้านได้

การเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่ำ ราว ๆ 0-7% การเลือกกระบวนการผ่าตัด หมอจะพิจารณาร่วมกับผู้รับการผ่าตัด ตามเหมาะสมของแต่ละคน หลังผ่าตัดควรจะพักฟื้นต่อที่บ้านราว ๆ 2-4 อาทิตย์ เพื่อปรับนิสัยกับทางเดินอาหารใหม่ น้ำหนักที่ลดอย่างเร็ว สภาวะเปลี่ยนไปจากปกติรวมทั้งโรคต่าง ๆ จะค่อย ๆ ดียิ่งขึ้น

ผู้ป่วยที่เข้าข่าย จะได้รับการรักษาโดยการ ผ่าตัดกระเพาะ

  • ต้องเป็นโรคอ้วน คำนวณจากดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 32.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป หากไม่เป็นโรคอ้วน ผ่าตัดแล้วจะได้ผลไม่คุ้มกับความเสี่ยง
  • ใช้วิธีการอื่นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เรื่องการลดน้ำหนักด้วยตัวเอง มีให้เห็นอยู่เนื่อง ๆ แต่หากพยายามเองแล้วไม่สำเร็จ อาจต้องใช้การผ่าตัดเป็นเครื่องช่วย
  • คนไข้ต้องมีความเข้าใจ การปฏิบัติตัวก่อน ระหว่าง และหลังผ่าตัด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว การลดน้ำหนักจะค่อยเป็นค่อยไป เฉลี่ยควรลดหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์

ข้อดี การผ่าตัดกระเพาะ

  • ผ่าตัดด้วยกล้อง แผลเล็กมาก ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า การผ่าตัดกระเพาะแบบอื่น ๆ เพียง 3-4 วัน ในโรงพยาบาล
  • รับประทานอาหารได้น้อยลง รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้น้ำหนักตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
  • ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่ดีของฮอร์โมนในลำไส้ Gut Hormone มีปริมาณน้อยลง ไม่ไปกระตุ้นการอยากอาหาร ไม่ค่อยหิว และเวลากินจะกินได้น้อยลง

ใครเหมาะสมกับการผ่าตัดกระเพาะ

  1. เป็นโรคอ้วน และมี BMIสูง มากกว่า 40 ขึ้นไป
  2. มี BMI ระหว่าง 30 – 40 แต่มีภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่นโรคเบาหวานประเภท 2 หรือความดันโลหิตสูง
  3. อายุไม่เกิน 65 ปี
  4. สุขภาพร่างกายแข็งแรงพอที่จะ ดมยาสลบได้
  5. เป็นคนอ้วน ที่เคยลดน้ำหนักวิธีต่างๆแล้วไม่ได้ผล เช่นการอดอาหาร การออกกำลังกาย หรือใช้ยา
  6. มีวินัยในการดูแลสุขภาพ ควบคุมการรับประทานอาหาร ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และโภชนากร และ พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

เตรียมตัวก่อนผ่าตัด

ก่อนเข้ารับการผ่าตัดคนไข้จำเป็นที่จะต้อง

  • ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ดังเช่นว่า ตรวจเลือด, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, ตรวจสมรรถภาพปอด ฯลฯ
  • ส่องกล้องตรวจกระเพาะให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติอะไรก็แล้วแต่ของกระเพาะ ก่อนจะกระทำการผ่าตัด
  • เตรียมความพร้อมด้านโภชนาการจากนักกำหนดอาหาร โดยจะมีประเมินแล้วก็การปรับการกินอาหารหลังทำการผ่าตัด
  • ทดสอบสภาพจิตใจกับนักจิตวิทยาเพื่อแน่ใจว่าไม่มีโรคทางจิตเวชสำคัญที่ห้ามการผ่าตัด แล้วก็เตรียมพร้อมเปลี่ยนแปลงความประพฤติหลังผ่าตัด
  • ประเมินภาวะโรคที่มีการเสี่ยงก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้น ได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน โรคความดันเลือดสูง ฯลฯ
  • ตรวจการนอน STOP – BANG แล้วก็ตรวจวิเคราะห์การนอน Sleep Test
  • ทำความเข้าใจแนวทางออกกำลังก่อนและหลังผ่าตัดอย่างแม่นยำกับหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู
  • งดเว้นสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด 4 สัปดาห์
  • งดเว้นน้ำแล้วก็ของกินก่อนเข้ารับการผ่าตัด 6 – 8 ชั่วโมง หากจะต้องทานยาให้เป็นไปตามที่หมอสั่ง
  • หากไม่มั่นใจว่าตั้งครรภ์ควรจะแจ้งหมอรวมทั้งพยาบาล
  • ถ้าหากอยู่ในระหว่างกินยา อาหารเสริม สมุนไพร ควรปรึกษาหมอว่าสามารถกินชนิดใดและจะต้องหยุดประเภทใดก่อนผ่าตัด
  • กรุณาแจ้งหมอถ้ากินยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือเรื่องราวป่วยเกี่ยวกับโรคเส้นเลือด
  • คนไข้ทุกรายจะได้รับยาฉีดป้องกันการเกิดลิ่มเลือดตันก่อนการผ่าตัดกระเพาะอาหาร 12 ชั่วโมง

หลังเข้ารับการผ่าตัดผู้ป่วยจึงควร

  • รับสารอาหารและน้ำทางสายน้ำเกลือ ตราบจนกระทั่งจะกินอาหารเองได้
  • ใส่ปลอกสวมขา เพื่อป้องกันสภาวะแข็งตัวในเส้นเลือดดำ โดยถอดออกเมื่อคนไข้ขยับตัวได้เอง แล้วก็เมื่อขยับตัวได้ควรเริ่มเคลื่อนร่างกายโดยด่วน เพื่อทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติภายใน 2 – 3 วัน
  • ถ้าหากมีลักษณะแทรกต่าง ๆ ปรึกษาแพทย์ในทันที ตัวอย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจ > 120 ครั้ง ต่อนาที, เป็นไข้ 37.8 องศาเซลเซียส หรือมีลักษณะปวดท้องอย่างหนัก
  • ควบคุมอาหาร จากที่นักกำหนดอาหารวางแผน รวมทั้งให้คำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • สามารถเริ่มออกแรงเบา ๆ ได้ตั้งแต่อาทิตย์ที่ 2 หลังการผ่าตัด แล้วก็งดเว้นยกของหนัก 3 เดือน
  • อาหารเน้นกินโปรตีนกินคาร์โบไฮเดรตที่เป็นไฟเบอร์มาก ๆ เช่น ผักต่าง ๆ เนื่องจากดูดซึมยากกว่า หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมง่าย  เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารเส้นทั้งหลาย
  • พบแพทย์ตามนัดหมาย อย่างเคร่งครัด เพื่อตรวจเช็กร่างกาย